นาฬิกา Orient Star Classic Mechanical สายเหล็ก (RE-AY0103L)

นาฬิกา Orient Star Classic Mechanical สายเหล็ก (RE-AY0103L)

81,000 ฿

,

The new Mechanical Moon Phase piece is a refined version of ORIENT STAR’s most symbolic flagship featuring a new in-house movement with a 50-hour power reserve. It features a semi skeleton aperture at 9 o’clock, power reserve indicator at 12 o’clock, and a moon phase with date display at 6 o’clock. It features a unique flowing water motif on the dial. The colour gradation gives the dial an attractive contrast and sense of depth. The moon phase display depicts the moon gently illuminating a flowing river while the diamond-shaped hands represent the glittering stars. The hour and minute hands are wider, and the hour hand has been shortened ensuring it does not overlap the index markings. The width balance of both hands has been refined in units of 0.01 mm to increase visibility and legibility. The model features sapphire crystal with anti-reflective coating on both sides of the glass (SAR coating) to reduce glare and ensure visibility. The case back is also sapphire crystal while the case and metal bracelet are made of high-quality corrosion-resistant stainless steel (SUS316L). The result is a practical, yet elegant everyday timepiece further enhancing the appeal of mechanical watches.

ขนาด

ตัวเรือน

แสตนเลส

กันน้ำ

50 เมตร

ข้อมูลจำเพาะ

Case:

Case Size 3H-9H: 41mm
Case Size 12H-6H: 49mm
Case Material: Stainless Steel
Caseback Design: See-through Caseback
Caseback Structure: Screw Caseback
Glass Material: Sapphire Crystal Glass
Glass Coating: Super Anti-Reflective Glass Coating
Glass Material: Caseback: Sapphire Crystal Glass

Movement:

Automatic Self-Winding: Yes
Jewels: 22 Jewels
Vibration: 21,600 vibrations/hour
Hand Winding: Yes
Movement: Mechanical
Caliber Code: Cal.F7M62 Made in Japan

Feature:

Power Reserve Indicator: Yes (50H)
Second Hand Halt Mechanism: Yes
Date: Yes
Water Resistance: 50m

เรื่องราว

NEW ORIENT STAR MECHANICAL MOON PHASE CLASSIC WATCH – ปรับปรุงใหม่ทั้งประสิทธิภาพและดีไซน์

เมื่อปลายปี 2020 ที่เพิ่งผ่านมา Orient Star (โอเรียนท์ สตาร์) แบรนด์นาฬิกาจักรกลชั้นเลิศจากประเทศญี่ปุ่นได้เพิ่ม 4 เวอร์ชั่นใหม่ให้กับ Mechanical Moon Phase Classic Watch (เมคานิคอล มูน เฟส คลาสสิก วอทช์) จากคอลเลกชั่นนาฬิกายอดนิยม Classic Collection (คลาสสิก คอลเล็กชั่น) โดยมาใน 2 ธีมดีไซน์ใหม่ ได้แก่ ‘New Look Original’ (นิว ลุค ออริจินอล) และ ‘Next Generation’ (เน็กต์ เจเนอเรชั่น) ทั้งคู่เป็นการปรับดีไซน์จากพื้นฐานของ Mechanical Moon Phase Classic Watch ที่มีจำหน่ายอยู่ก่อน ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2017 นอกจากนี้ยังอัพเกรดกลไกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย
ธีม ‘New Look Original’ เป็นการปรับการตกแต่งให้งดงามยิ่งขึ้นโดยยังคงลักษณะแบบเดิมเอาไว้ ขณะที่ธีม ‘Next Generation’ นั้นเพิ่มความซับซ้อนของดีไซน์เข้าไปในรายละเอียดของหน้าปัด แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ยังคงลักษณะเด่นของ Mechanical Moon Phase Classic Watch เอาไว้เช่นเดิม ได้แก่การเปิดช่องหน้าต่างทรงกลมกรุกรอบสีเงิน ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกา ของหน้าปัดเพื่อให้เห็นจักรกลอกภายใต้โครงสะพานจักร เข็มบอกพลังงานสำรองที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และเข็มบอกวันที่ในหน้าปัดย่อยที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ซึ่งซ้อนช่องหน้าต่างรูปเสี้ยวสำหรับแสดงข้างขึ้น-ข้างแรมที่พิมพ์ภาพดวงจันทร์และดวงดาวบนจานดิสก์ที่อยู่ภายใน

ดีไซน์หน้าปัดของธีม ‘New Look Original’ เน้นความเรียบง่ายคลาสสิกด้วยหลักชั่วโมงเลขโรมันร่วมกับสเกลนาทีแบบรางรถไฟ และใช้ตราสัญลักษณ์ของแบรนด์ประทับเป็นลายตกแต่งบนพื้นที่บริเวณกลางหน้าปัด มีแนววงแหวนพาดคั่นระหว่างพื้นที่หลักชั่วโมงกับพื้นที่กลางหน้าปัด เข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีถูกขยายขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อให้เต็มตากว่าเดิม และลดความยาวของเข็มชั่วโมงลงเพื่อไม่ให้วาดทับหลักชั่วโมง และใช้จานข้างขึ้น-ข้างแรมเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนดีไซน์หน้าปัดของธีม ‘Next Generation’ นั้นถูกออกแบบให้มีลวดลายดั่งสายน้ำไหลบนพื้นที่ส่วนกลางของหน้าปัด ล้อมด้วยแนววงแหวนอันเป็นตำแหน่งของหลักชั่วโมงเลขโรมัน และใช้ลักษณะสีหน้าปัดแบบไล่น้ำหนักเฉดเพื่อให้ดูมีมิติล้ำลึก เข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีถูกออกแบบส่วนปลายให้มีรูปทรงคล้ายเหลี่ยมเพชร แต้มแต่งด้วยสีขาว ตกแต่งด้วยการปัดลายสลับกับขัดเงา และใช้เข็มขนาดเล็กที่ออกแบบให้มีลักษณะเหลี่ยมคมสอดคล้องกัน ส่วนจานข้างขึ้น-ข้างแรมจะเป็นสีน้ำเงิน

แม้ตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 41.0 มิลลิเมตร หนา 13.8 มิลลิเมตร กันน้ำได้ 50 เมตร ของรุ่น Mechanical Moon Phase Classic Watch รูปแบบใหม่ทั้ง 4 เวอร์ชั่น จะเป็นวัสดุและขนาดที่ไม่ต่างไปจากเวอร์ชั่นก่อน แต่ก็มีการเพิ่มคุณสมบัติด้วยการใช้กระจกหน้าปัดคริสตัลแซพไฟร์ที่เคลือบสารกันแสงสะท้อนมาทั้ง 2 ฝั่ง แทนการเคลือบฝั่งเดียว ส่วนฝาหลังเป็นชนิดกรุคริสตัลแซพไฟร์เช่นเดิม โดยมีทั้งที่จับคู่มากับสายสเตนเลสสตีลพร้อมตัวล็อกชนิดปีกผีเสื้อ ปลดล็อกด้วยปุ่มกดอันเช่นเดียวกับเวอร์ชั่นก่อน และที่จับคู่มากับสายหนังที่คราวนี้ไม่ใช่สายหนังจระเข้ แต่เป็นสายหนังม้า ‘Cordovan’ (คอร์โดแวน) พร้อมตัวล็อกชนิดบานพับ ปลดล็อกด้วยปุ่มกด
เครื่องที่ใช้กับ 4 เวอร์ชั่นนี้ยังคงเป็นกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) อัตโนมัติขึ้นลานด้วยมือได้ ความถี่การทำงาน 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง บอกเวลาด้วย 3 เข็มกลาง บอกวันที่และพลังงานสำรองด้วยเข็มขนาดเล็ก บอกข้างขึ้น-ข้างแรมด้วยจานดิสก์ และหยุดเข็มวินาทีขณะตั้งเวลา มีจำนวนทับทิมรวม 22 ชิ้น บนโครงสร้างกลไกแบบกึ่งสเกเลตัน อันเป็นคาลิเบรอที่ผลิตในโรงงานที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่ใช่ Cal.F7X62 อย่างที่ใช้กับเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ แต่เป็น Cal.F7M62 ที่เป็นเวอร์ชั่นปรับปรุงใหม่ของ Cal.F7X62 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นโดยเฉพาะด้านความยาวนานของพลังงานสำรองที่เพิ่มจาก 40 ชั่วโมง ของคาลิเบรอเดิมมาเป็น 50 ชั่วโมง
Orient Star Mechanical Moon Phase Classic Watch ที่เปิดตัวออกมาใหม่ 4 เวอร์ชั่นนี้ แบ่งดีไซน์หน้าปัดเป็นธีมละ 2 เวอร์ชั่น โดยธีม ‘New Look Original’ จะมากับหน้าปัดโทนสีเงิน หลักชั่วโมงและสเกลสีดำ วงแหวนหน้าปัดวันที่และแถบมาตรพลังงานสำรองสีเงิน เข็มสีน้ำเงิน เช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ Ref.RE-AY0102S จะมากับสายสเตนเลสสตีล ส่วน Ref.RE-AY0106S จะใช้สายหนังม้า ‘Cordovan’ สีดำ
สำหรับธีม ‘Next Generation’ นั้น Ref.RE-AY0103L จะใช้หน้าปัดสีน้ำเงินเข้มร่วมกับหลักชั่วโมงกับสเกลสีขาว วงแหวนหน้าปัดวันที่และแถบมาตรพลังงานสำรองสีดำขอบเงิน และเข็มสีเงิน ติดตั้งมากับสายสเตนเลสสตีล ส่วน Ref.RE-AW0107N จะมากับหน้าปัดสีเทาร่วมกับหลักชั่วโมงและสเกลสีขาว วงแหวนหน้าปัดวันที่และแถบมาตรพลังงานสำรองสีดำ เข็มสีเงิน จับคู่กับสายหนังม้า ‘Cordovan’ สีดำ

ผู้แทนจำหน่าย Orient Star ในประเทศไทย ตั้งราคาจำหน่ายสำหรับเวอร์ชั่นใหม่ของรุ่น Mechanical Moon Phase Classic Watch ไว้ที่ 71,000 บาท สำหรับเวอร์ชั่นที่ใช้สายสเตนเลสสตีล และ 69,000 บาท สำหรับเวอร์ชั่นที่ติดตั้งมากับสายหนังม้า ‘Cordovan’